วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อคิดจาก...น้าเน็ก



ดูแล้วให้ข้อคิดเยอะเลย

- ถ้าเปรียบกับการปีนเขา...เราอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อปีนเขา Everest แต่ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครอยู่บนเขา Everest ได้นานเกินหนึ่งชั่วโมง...เพราะทุกคนจะลงมาเพื่อปีนเขาลูกใหม่...และลูกต่อๆไป

- อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่...อย่าไปยึดติดกับอะไรบางอย่าง...ชีวิตสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

- ถ้าความสำเร็จวัดกันที่ตัวเงิน...เงินไม่ใช่ประเด็นหลัก...แต่สิ่งที่สำคัญคือ...วิธีการได้มันมา...และวิธีการใช้มัน...ต่างหาก!!

- หลายๆคนหยุดที่จะเรียนรู้เมื่อจบจากมหาวิทยาลัย...จนลืมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆควบคู่ไปกับการทำงาน^^

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตุ๊กตาล้มลุก ความหมายดีๆที่แอบซ่อน




ผมเชื่อว่าทุกๆคนมี “ฮีโร่” ในดวงใจของตนเอง อาจจะเป็น นักร้อง นักแสดง นักกีฬา นักลงทุน พ่อแม่ หรือใครก็ได้ที่เป็นแบบอย่างในชีวิตเรา (หรือถ้าใครยังไม่มีก็ลองค้นหาดูนะครับ) ส่วนตัวผมเองก็มี “ฮีโร่” ในดวงใจของผมเช่นกัน วันนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักกับ “ฮีโร่” ในดวงใจของผม ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความไม่ย่อท้อในชีวิตเลยก็ว่าได้ ชื่อของเขาคือ Daruma หรือ “ตุ๊กตาล้มลุก” นั่นเอง…อาจจะผิดหวังใครๆหลายๆคนที่คิดว่าอาจจะเป็นดาราดังที่ไหน…ผมได้ค้นหาใน Google เพื่อหาประวัติมาให้อ่านคร่าวๆครับ…

(นี่คือประวัติคร่าวๆที่พอจะหาได้ อาจจะยาวหน่อยนะครับ ทนอ่านอีกนิดนึงนะ ^^)

ตุ๊กตาล้มลุก…เป็นตุ๊กตาที่ยังไม่ทราบแน่ชัดนะครับว่า มีกำเนิดที่ประเทศอะไร ระหว่าง รัสเซียกับญี่ปุ่น ที่รัสเซียเขาเรียกตุ๊กตาล้มลุก ว่า “ตุ๊กตาไข่อิสเตอร์” คือ ทำมาจากไข่แล้วใส่เทียนไขให้มันล้มลุกได้…ส่วนที่ญี่ปุ่นเขาเรียกว่า ตุ๊กตาดารุมะ (Daruma) สำหรับในญี่ปุ่นนั้นมีตำนานเล่าว่า ดารุมะเป็นเจ้าชายที่เดินทางไปประเทศจีน เพื่อเผยแพร่ลัทธิเซนในจีน โดยเชื่อกันว่าดารุมะเป็นทายาทต่อจากพระพุทธเจ้า ซึ่งได้นั่งสมาธิเป็นเวลาถึง 8 ปี จนเป็นเทพไปในที่สุด 






ดังนั้นดารุมะ จึงเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พระโพธิธรรม)…ดารุมะที่เห็นในปัจจุบัน ลักษณะจะเป็นตุ๊กตาตัวกลมๆไม่มีแขนไม่มีขา น่าตาน่ากลัว เพราะไม่มีตาดำ ตัวเป็นสีแดง ที่เป็นสีแดงเพราะ พระโพธิธรรมท่านชอบสวมเสื้อสีดำเป็นประจำ และคนสมัยก่อนมีความเชื่อว่า…สีแดงสามารถขับไล่สิ่งช่วยร้ายหรือโรคร้ายๆได้…โดยเฉพาะโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) ตามความเชื่อว่าเทพฝีดาษ (ที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ) นั้นไม่ชอบสีแดง ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงชอบมอบตุ๊กตา ดารุมะ ให้เด็กๆไว้เป็นของเล่น เพื่อปัดเป่าสิ่งช่วยร้ายรวมไปถึงโรคฝีดาษ ออกไปจากพวกเด็กๆ

อีกทั้งยังมีปรัชญาแฝงในตัวตุ๊กตาด้วย....ทำไมมันถึงได้เป็นตุ๊กตาล้มลุก ก็เพราะจะแสดงให้เห็นว่า...เมื่อล้มแล้ว ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ ซึ่งหมายความว่า...ต้องต่อสู้โดยไม่ย่อท้อ เมื่อล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ต่อไป ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม ก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ความผิดพลาดเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ เมื่อล้มบ่อย ๆ ก็ย่อมรู้ถึงจุดผิดพลาดที่ผ่านมา

ตามความเชื่อ...ในการอธิษฐานขอพรกับตุ๊กตาดารุมะนั้น....จะใช้หมึกสีดำระบายเขียนตาข้างหนึ่งของตุ๊กตาและทำการขอพร และมักจะเก็บตุ๊กตาไว้บนหิ้งที่สูง หรือไว้ในที่ที่มองเห็นได้ตลอดเวลา เมื่อพรที่เราขอสมหวังสำริดตามความปรารถนาแล้ว ก็จะระบายสีตาอีกข้างให้สมบูรณ์ครบเป็นสองดวง พอถึงวันสิ้นปี จะนำตุ๊กตาที่ระบายสีตาแล้ว ไปที่วัด (จินจะ) เพื่อนำไปมาเผารวมกันกับของคนอื่น ซึ่งในหนึ่งปีก็จะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าพลาดไม่ทันก็ต้องรอเก็บไว้ในปีหน้า

พอส่งตัวเก่าไปเผาแล้ว ......ก็จะซื้อตัวใหม่ ที่มีขนาดของตุ๊กตาใหญ่กว่าตัวเดิมของเรา (จะได้ขอพรที่ใหญ่กว่าของเดิม)

แต่ถึงแม้นว่า... ตุ๊กตาดารุมะ.... จะเป็นที่นิยมว่าเป็นเครื่องลางในการขอพรให้เกิดความสำเร็จต่าง ๆ ของชาวญี่ปุ่นก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงผลทางจิตใจ เสมือนเป็นตัวผลักดันให้เรา พยายามให้ถึงที่สุด โดยไม่ย่อท้อต่อความลำบาก สาเหตุที่...วางตุ๊กตาไว้ในที่ ที่มองเห็นได้ตลอด ก็เพราะเมื่อเรามองเห็นตุ๊กตาตัวนี้ เราก็จะเกิดกำลังใจ พยายามต่อสู้จนเกิดผลสำเร็จขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่ขอพร แล้วนอนรอปาฏิหาริย์ พรจากเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คงไม่บันดาลให้เป็นจริงได้ ในเมื่อตัวเองไม่พยายามทำให้เต็มที่

ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ทนอ่านอีกหน่อยนึงนะ ^^

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่คนให้ความสำคัญกับ “ตุ๊กตาล้มลุก” น้อยกว่าตุ๊กตาตัวอื่นๆ ถ้าไปเดินหาซื้อในห้างหรือร้านขายตุ๊กตา แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว หรือถ้ามีก็น้อยมากๆ เพราะอะไร? ทำไมเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าเจ้า “ดารุมะ” หน้าตามันขี้เหร่ กว่าใครๆน่ะสิ สู้น้องบลาย กับ หมีพูล ก็ไม่ได้ 555+ ล้อเล่นนะครับ ที่อยากให้เห็นความสำคัญของมันก็เพราะว่า ตุ๊กตาตัวนี้ ถึงหน้าตามันจะขี้เหร่ ไม่มีแขน ไม่มีขา…แต่มันเป็นตุ๊กตาที่มีความหมายดีมากๆครับ ถึงแม้จะไม่มีใครรักมันก็ตาม มันก็ยังคงเป็นแบบอย่างของความไม่ย่อท้อ…ให้กับทุกๆคนในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังในชีวิตเสมอๆ

มีคนเคยบอกผมว่าชีวิตจริงไม่เหมือนการเล่นเกมส์ ที่เวลา Game over แล้วสามารถกลับมาเริ่มใหม่ได้เสมอ มันถูกแค่ส่วนนึงเท่านั้นเอง ในชีวิตจริงตราบใดที่การ Game Over นั้นมันไม่ได้หมายถึงการสิ้นลมหายใจ…ตราบนั้นคนเราทุกคนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกไงล่ะครับ…ทุกๆครั้งที่มันล้มลง มันก็จะยืนขึ้นได้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็จะยืนขึ้นอีก ขนาดตุ๊กตาล้มลุกมันไม่มีแขนไม่มีขา มันยังยืนขึ้นใหม่ได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ ที่มีทั้งแขนและขา บวกอีก 1สมอง ทำไมจะยืนขึ้นใหม่ไม่ได้ อยากให้กำลังใจคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในชีวิตวันนี้ และเป็นกำลังใจให้ครับ ถ้า “เจ้าดารุมะ” มันพูดได้มันคงพูดว่า.... 

“ไม่ว่าฉันจะล้มสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ”



ขอบคุณ คุณ เต่าญี่ปุ่น สำหรับ ประวัติ ดารุมะ
 

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ล้มลุก ล้มลุก ล้มลุก







 
เวลาแต่ละวันมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินเผลอแปปเดียวก็จะเข้าสู่ปลายปีแล้ว...

ความผิดหวัง ความล้มเหลวในชีวิต ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมัน วันนึงมันจะกลับมาเป็นแรงพลักดันในชีวิตของเราก็ได้





ผมเองมีทั้งช่วงเวลาที่ดี และไม่ดีในชีวิตเหมือนคนอื่นๆ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกแย่กับชีวิตก็มักจะบันทึกมันลงในกระดาษ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบระบายความทุกข์ที่มีให้ใครฟังมันเหมือนเรากำลังโยนความทุกข์ไปให้คนอื่น (หรืออาจไม่มีใครให้ระบาย เหมือนเป็นคนเก็บกด ขึ้นทุกวัน 55+) ก็เลยชอบระบายมันใส่กระดาษ บันทึกมันเอาไว้และไม่กลับไปอ่านมันอีก จนกว่าเราจะพร้อม

ผมจึงชอบเขียนสิ่งๆต่างๆที่ตัวเองคิด หรือไปประสบพบเจอมาใส่ในเศษกระดาษ หรือสมุด ผมจึงมีความคิดที่ว่า  อยากจะนำสิ่งที่เคยเขียนหรือบันทึกไว้ ใส่ใน Blog นี้เผื่อวันนึง  ผมจะได้กลับมาอ่านมันและมันคงจะเป็นกำลังใจในวันที่ผมรู้สึกแย่และคอยเตือนสติผมในวันที่ผมรู้สึกดี เพราะเมื่อตัวเรารู้สึกแย่  เราก็มักจะลืมสิ่งดีๆในชีวิตไป แต่ถ้าวันไหนที่เรารู้สึกดี เราเองก็มักจะลืมสิ่งแย่ๆในชีวิตไปเช่นกัน

ในความเป็นจริงเราควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆในชีวิตในเวลาที่เรารู้สึกแย่ เพราะสิ่งดีๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มันจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น และเราควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่แย่ๆในชีวิต ในวันที่เรารู้สึกดีเพราะสิ่งที่แย่ๆจะคอยย้ำเตือนสติเราอยู่เสมอ ว่าพรุ่งนี้อาจไม่ใช่วันที่ดีของเราก็ได้

และจุดประสงค์อีกอย่างนึงของ Blog นี้คงจะเป็นบันทึกการเดินทางของตัวผมเองในการที่จะเป็นนักลงทุนที่ดี ซึ่งจะพยายามบันทึกการวิเคราะห์หุ้น ของตัวเองลงไป สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการฝึกการวิเคราะห์เป็นเหมือน Paper Trade นั่นเอง

"ดังนั้น Blog นี้จึงเปรียบเสมือนปั๊มน้ำมันที่คอยเติมน้ำมันให้ผมเวลาที่ผมหมดแรงและคงเป็นเหมือนไฟเขียวไฟแดง เพื่อเตือนสติผมในระหว่างที่ผมเดินทางอย่างมีความสุข..."