ผมเชื่อว่าทุกๆคนมี “ฮีโร่” ในดวงใจของตนเอง อาจจะเป็น นักร้อง นักแสดง นักกีฬา นักลงทุน พ่อแม่ หรือใครก็ได้ที่เป็นแบบอย่างในชีวิตเรา (หรือถ้าใครยังไม่มีก็ลองค้นหาดูนะครับ) ส่วนตัวผมเองก็มี “ฮีโร่” ในดวงใจของผมเช่นกัน วันนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักกับ “ฮีโร่” ในดวงใจของผม ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความไม่ย่อท้อในชีวิตเลยก็ว่าได้ ชื่อของเขาคือ Daruma หรือ “ตุ๊กตาล้มลุก” นั่นเอง…อาจจะผิดหวังใครๆหลายๆคนที่คิดว่าอาจจะเป็นดาราดังที่ไหน…ผมได้ค้นหาใน Google เพื่อหาประวัติมาให้อ่านคร่าวๆครับ…
(นี่คือประวัติคร่าวๆที่พอจะหาได้ อาจจะยาวหน่อยนะครับ ทนอ่านอีกนิดนึงนะ ^^)
ตุ๊กตาล้มลุก…เป็นตุ๊กตาที่ยังไม่ทราบแน่ชัดนะครับว่า มีกำเนิดที่ประเทศอะไร ระหว่าง รัสเซียกับญี่ปุ่น ที่รัสเซียเขาเรียกตุ๊กตาล้มลุก ว่า “ตุ๊กตาไข่อิสเตอร์” คือ ทำมาจากไข่แล้วใส่เทียนไขให้มันล้มลุกได้…ส่วนที่ญี่ปุ่นเขาเรียกว่า ตุ๊กตาดารุมะ (Daruma) สำหรับในญี่ปุ่นนั้นมีตำนานเล่าว่า ดารุมะเป็นเจ้าชายที่เดินทางไปประเทศจีน เพื่อเผยแพร่ลัทธิเซนในจีน โดยเชื่อกันว่าดารุมะเป็นทายาทต่อจากพระพุทธเจ้า ซึ่งได้นั่งสมาธิเป็นเวลาถึง 8 ปี จนเป็นเทพไปในที่สุด
ดังนั้นดารุมะ จึงเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พระโพธิธรรม)…ดารุมะที่เห็นในปัจจุบัน ลักษณะจะเป็นตุ๊กตาตัวกลมๆไม่มีแขนไม่มีขา น่าตาน่ากลัว เพราะไม่มีตาดำ ตัวเป็นสีแดง ที่เป็นสีแดงเพราะ พระโพธิธรรมท่านชอบสวมเสื้อสีดำเป็นประจำ และคนสมัยก่อนมีความเชื่อว่า…สีแดงสามารถขับไล่สิ่งช่วยร้ายหรือโรคร้ายๆได้…โดยเฉพาะโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) ตามความเชื่อว่าเทพฝีดาษ (ที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ) นั้นไม่ชอบสีแดง ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงชอบมอบตุ๊กตา ดารุมะ ให้เด็กๆไว้เป็นของเล่น เพื่อปัดเป่าสิ่งช่วยร้ายรวมไปถึงโรคฝีดาษ ออกไปจากพวกเด็กๆ
อีกทั้งยังมีปรัชญาแฝงในตัวตุ๊กตาด้วย....ทำไมมันถึงได้เป็นตุ๊กตาล้มลุก ก็เพราะจะแสดงให้เห็นว่า...เมื่อล้มแล้ว ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ ซึ่งหมายความว่า...ต้องต่อสู้โดยไม่ย่อท้อ เมื่อล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ต่อไป ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม ก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ความผิดพลาดเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ เมื่อล้มบ่อย ๆ ก็ย่อมรู้ถึงจุดผิดพลาดที่ผ่านมา
ตามความเชื่อ...ในการอธิษฐานขอพรกับตุ๊กตาดารุมะนั้น....จะใช้หมึกสีดำระบายเขียนตาข้างหนึ่งของตุ๊กตาและทำการขอพร และมักจะเก็บตุ๊กตาไว้บนหิ้งที่สูง หรือไว้ในที่ที่มองเห็นได้ตลอดเวลา เมื่อพรที่เราขอสมหวังสำริดตามความปรารถนาแล้ว ก็จะระบายสีตาอีกข้างให้สมบูรณ์ครบเป็นสองดวง พอถึงวันสิ้นปี จะนำตุ๊กตาที่ระบายสีตาแล้ว ไปที่วัด (จินจะ) เพื่อนำไปมาเผารวมกันกับของคนอื่น ซึ่งในหนึ่งปีก็จะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าพลาดไม่ทันก็ต้องรอเก็บไว้ในปีหน้า
พอส่งตัวเก่าไปเผาแล้ว ......ก็จะซื้อตัวใหม่ ที่มีขนาดของตุ๊กตาใหญ่กว่าตัวเดิมของเรา (จะได้ขอพรที่ใหญ่กว่าของเดิม)
แต่ถึงแม้นว่า... ตุ๊กตาดารุมะ.... จะเป็นที่นิยมว่าเป็นเครื่องลางในการขอพรให้เกิดความสำเร็จต่าง ๆ ของชาวญี่ปุ่นก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงผลทางจิตใจ เสมือนเป็นตัวผลักดันให้เรา พยายามให้ถึงที่สุด โดยไม่ย่อท้อต่อความลำบาก สาเหตุที่...วางตุ๊กตาไว้ในที่ ที่มองเห็นได้ตลอด ก็เพราะเมื่อเรามองเห็นตุ๊กตาตัวนี้ เราก็จะเกิดกำลังใจ พยายามต่อสู้จนเกิดผลสำเร็จขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่ขอพร แล้วนอนรอปาฏิหาริย์ พรจากเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คงไม่บันดาลให้เป็นจริงได้ ในเมื่อตัวเองไม่พยายามทำให้เต็มที่
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ทนอ่านอีกหน่อยนึงนะ ^^
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่คนให้ความสำคัญกับ “ตุ๊กตาล้มลุก” น้อยกว่าตุ๊กตาตัวอื่นๆ ถ้าไปเดินหาซื้อในห้างหรือร้านขายตุ๊กตา แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว หรือถ้ามีก็น้อยมากๆ เพราะอะไร? ทำไมเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าเจ้า “ดารุมะ” หน้าตามันขี้เหร่ กว่าใครๆน่ะสิ สู้น้องบลาย กับ หมีพูล ก็ไม่ได้ 555+ ล้อเล่นนะครับ ที่อยากให้เห็นความสำคัญของมันก็เพราะว่า ตุ๊กตาตัวนี้ ถึงหน้าตามันจะขี้เหร่ ไม่มีแขน ไม่มีขา…แต่มันเป็นตุ๊กตาที่มีความหมายดีมากๆครับ ถึงแม้จะไม่มีใครรักมันก็ตาม มันก็ยังคงเป็นแบบอย่างของความไม่ย่อท้อ…ให้กับทุกๆคนในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังในชีวิตเสมอๆ
มีคนเคยบอกผมว่าชีวิตจริงไม่เหมือนการเล่นเกมส์ ที่เวลา Game over แล้วสามารถกลับมาเริ่มใหม่ได้เสมอ มันถูกแค่ส่วนนึงเท่านั้นเอง ในชีวิตจริงตราบใดที่การ Game Over นั้นมันไม่ได้หมายถึงการสิ้นลมหายใจ…ตราบนั้นคนเราทุกคนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกไงล่ะครับ…ทุกๆครั้งที่มันล้มลง มันก็จะยืนขึ้นได้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็จะยืนขึ้นอีก ขนาดตุ๊กตาล้มลุกมันไม่มีแขนไม่มีขา มันยังยืนขึ้นใหม่ได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ ที่มีทั้งแขนและขา บวกอีก 1สมอง ทำไมจะยืนขึ้นใหม่ไม่ได้ อยากให้กำลังใจคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในชีวิตวันนี้ และเป็นกำลังใจให้ครับ ถ้า “เจ้าดารุมะ” มันพูดได้มันคงพูดว่า....
“ไม่ว่าฉันจะล้มสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ”
ขอบคุณ คุณ เต่าญี่ปุ่น สำหรับ ประวัติ ดารุมะ